วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เที่ยวแนวนี้แหละ ใช่เลย

ผมเป็นนักท่องเที่ยวและนักเดินทางในเวลาเดียวกัน

นั่นเป็นคำนิยามตัวเองของผม

ผมอาจจะไม่ได้มีชั่วโมงบินในการท่องเที่ยวต่างประเทศมากนัก แต่ถ้าในเมืองไทยผมไปมาพอสมควร 

ถ้าปกติไปเที่ยวกับครอบครัวเราก็จะใช้พาหนะอย่างรถส่วนตัวเป็นหลัก

แต่ถ้าไปเอง สองเท้าที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์นี่แหละที่เป็นสุดยอดพาหนะ เพราะมันพาเราไปไหนก็ได้ แถมไม่เสียเงินสักอย่าง แถมยังไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นภัยต่อโลกด้วย

ผมเลยสนใจงานเสวนาเรื่อง "การท่องเที่ยวของคนไม่เอาถ่าน" มากเป็นพิเศษเพราะเป็นวิธีท่องเที่ยวที่ผมก็ใช้อยู่ด้วย

และผมก็สนใจตัวผู้พูด คือพี่มินท์กับพี่สิงห์

ผมติดตามพี่มินท์มาจากรายการหลง เทศกาลโลก ได้อ่านหนังสือของพี่เขาและชอบแนวคิดมันมาก ผมได้ข่าวงานนี้จากเฟซพี่เขานั่นแหละ

ส่วนพี่สิงห์ก็รู้จักผ่านรายการพื้นที่ชีวิตที่ได้ดูย้อนหลังบ้าง แต่ไม่ได้ติดมากนัก แต่ก็ชอบตัวรายการและวิธีนำเสนอหัวข้อต่างๆได้น่าสนใจ

ผมมาถึงไวเกินคาดเพราะรถไม่ติด เลยได้โอกาสถ่ายรูปกับทั้งสองคนในช่วงที่คนยังไม่เยอะ

พอเข้าไปในงาน ได้ฟังเรื่องราวของทั้งสองคน ก็รู้สึกอินไปกับประสบการณ์พวกนี้ แม้ผมจะไม่ค่อยได้ลงไปทำกิจกรรมกับชุมชนมากนัก แต่สถานที่ท่องเที่ยวในแนวศิลปวัฒนธรรมก็ไปมาอยู่

ช่วงถามคำถามทีแรกผมลังเลอยู่ 2 เรื่อง แต่ตัดสินใจถามเริ่องทริปโหดเพราะผมก็เป็นสายฮาร์ดคอร์เหมือนกัน พอได้ฟังคำตอบก็รู้สึกถึงพลังที่มากระตุ้นต่อมออกเดินทางให้ทำงานเยอะขึ้น

การมาที่นี่อาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเรียนโดยตรง แต่ก็เป็นสิ่งที่มาเติมเชื้อไฟขิงผมให้ลุกขึ้น พร้อมจะขยับตัวอีกครั้ง

เคลียงายได้เมื่อไหร่ คงได้เวลาออกไปลุยอีกรอบ




วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๓ หัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

เขามีสำนวนว่า ๒ หัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

แต่สำหรับผมตอนนี้ ๓ หัวน่าจะดีกว่า

สมัยก่อนเวลาผมเที่ยว(ดูวัดวังโบราณสถานพิพิธภัณฑ์นะคับ) ผมชอบเที่ยวคนเดียว เพราะเป็นขาลุย(ระดับฮาร์ดคอร์) เคยเดินเที่ยวตากแดดในอยุธยาตั้งแต่ ๙ โมงจนถึง ๔ โมงเย็นโดยนั่งรถแค่ครั้งเดียวตอนให้เขาไปส่งในเมือง เลยไม่ค่อยชวนใครไปด้วย เพราะกลัวไปทำให้เบื่อหรือรำคาญ

เดี๋ยวนี้ก็ยังเที่ยวคนเดียวอยู่บ้าง บางทีมันก็คล่องตัว แต่ก็เหงาๆอยู่บ้างบางครั้ง เพราะไปคนเดียวก็ไม่รู้จะคุยกับใคร จะมีเพื่อนคุยบ้างเฉพาะเวลานั่งรถไฟหรือรถตู้กลับกรุงเทพเท่านั้นเอง

แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างนึงคือตอนนี้มีเพื่อนเที่ยวด้วยกันแล้วอีก ๒ คน ถึงจะไม่ได้ขาโหดลุยเท่า แต่ก็ไปด้วยกันได้หลายที่ ทำให้ผมเปลี่ยนวิธีเที่ยวไปบ้างเหมือนกัน เพราะถ้าจะให้ไปด้วยกันได้ ก็ต้องลดความสมบุกสมบันลงหน่อย ปรับโปรแกรมบ้าง แต่ก็ทำให้การท่องเที่ยวมีรสชาติและสนุกขึ้น มีรูปตัวเองมากขึ้น(เมื่อก่อนมีแต่รูปอย่างอื่นเพราะไม่ชอบเซลฟี่และไม่ชอบถ่ายตัวเอง)

บางครั้งการเที่ยวกับคนอื่นก็ทำให้เราได้เรียนรู้เหมือนกัน ได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหาคนอื่นบ้าง ไม่ใช่รอแต่ให้เขาปรับตัวเข้าหาเรา ทำให้รู้จักแบ่งปันความคิดความอ่านซึ่งกันและกัน และยังมีคนให้พูดคุยสัพเพเหระให้เราไม่เบื่อหรือเหงา

แต่การท่องเที่ยวคนเดียวก็ไม่ใช่จะไม่ดี มันก็มีข้อดีของมัน การท่องเที่ยวสองคนก็มีข้อดี การท่องเที่ยวสามคนก็เช่นกัน

เราคงไม่สามารถและไม่มีทางไปตัดสินได้หรอกว่าอะไรดีกว่าอะไร หรืออะไรดีที่สุดหรอก 

เพราะจะดีหรือไม่ เราเท่านั้นที่ตัดสิน
รวมพลังเท้าทั้งสาม


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เฟิร์สไทม์

การลงใต้ครั้งล่าสุดเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปสัมผัสเสี้ยวหนึ่งของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมได้ไปที่จังหวัดยะลาและปัตตานี

เหตุผลที่ไปก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากไปเท่านั้นเอง แต่นอกจากนั้นก็คือไปเยี่ยมญาติและสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ผมเลยแถมว่าอยากแวะดูมัสยิดและสถานที่บางแห่งที่พอไปได้ด้วย

จากการสอบถามอาแปะที่เป็นคนหาดใหญ่ได้ความว่า พื้นที่แถบนั้นแม้จะมีข่าวเรื่องระเบิดต่างๆ และมีบางพื้นที่ที่ยังอันตรายอยู่(สถานที่ืั้อยากไปส่วนหนึ่งของผมอยู่ในนั้นด้วย) แต่พื้นที่บางส่วนก็ยังสามารถเดินทางเข้าไปได้อยู่

ทันทีที่ข้ามชายแดนจากจังหวัดสงขลาเข้าสู่จังหวัดปัตตานี สิ่งแรกที่เห็นก็คือ ปริมาณมัสยิดที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เมื่อเทียบกับสงขลา มัสยิดตั้งอยู่ริมถนนเรียงรายกันจำนวนมาก มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ ลักษณะแตกต่างกันไป ทำให้รู้สึกเหมือนข้ามไปอยู่อีกพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย

เพราะแม้ส่วนตัวจะเที่ยวมัสยิดมาบ้าง แต่ก็ล้วนอยู่ในพื้นที่ที่มีคนพุทธเป็นประชากรส่วนใหญ่ ต่างจากแถบย่านนั้นที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่

บรรยากาศในส่วนตัวเมืองก็เช่นเดียวกับด้านนอก มีมัสยิดมากกว่าวัด คนจำนวนมากพูดภาษามุสลิมที่ผมฟังไม่ออก 

ถามว่าการเข้าไปรูสึกกลัวไหม ไม่ปฏิเสธว่ากลัวนะ อาจจะเพราะเราเสพข่าวไปมากพอสมควรด้วย แต่พอได้เข้าไปสัมผัสจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกกลัวมากมายอะไร 

ถ้าถามว่าอยากไปอีกไหม ถ้ามีโอกาสจะกลับลงไปอีกสักครั้ง เพราะยังไม่ได้ลงไปนราธิวาสเลย และยังมีอีกหลายพื้นที่ที่อยากไปแต่ยังอยู่ส่วนที่อาแปะบอกว่าอันตรายอยู่

แม้การลงไปครั้งนี้(ทั้ง ๒ จังหวัด) จะมีเวลาไม่มาก เที่ยวได้ไม่เต็มวันดี แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่า ทัศนคติที่มีต่อพื้นที่ปลายด้ามขวานของตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ เพราะก่อนหน้านี้ป๊าเคยชวนลงไป แต่ผมยังกลัวอยู่เลยไม่ได้ไปเลย

แล้วผมจะกลับไปอีกนะ

มัสยิดระหว่างทาง

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บังเอิญได้ไปเดิน : วัดโพธิ์ทอง วัดหลวงพ่อโอภาสี วัดพุทธบูชา

การเดินทางท่องเที่ยว อาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ แบบ

แบบแรกคือเตรียมตัวอย่างดี มีสถานที่ๆอยากไป มีระยะเวลาจำกัด

แบบที่สองคือไม่ได้เตรียมตัวอะไร ผ่านไปแล้วอยากไปก็ไป เวลาจะจำกัดหรือไม่ตามแต่กรณี

ผมลองมาทั้งสองอย่างแล้ว และพบเสน่ห์ของการท่องเที่ยวทั้วสองแบบ ที่มีความสนุกและความน่าสนใจต่างกัน

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรื่องมันเกิดจากว่าระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผ่านบิ๊กซีบางปะกอก ก็เกิดนึกขึ้นได้ว่า มีรถสองแถวที่พาไปยังวัดหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งยังไม่เคยไปมาก่อน ประจวบเหมาะกับวันนี้พกกล้องไป เพราะเมื่อเช้าไปถ่ายวัดราษฎร์บูรณะใกล้กับเขตเพื่อไปทำบัตรประชาชน

เลยตัดสินใจลงจากรถทันที เพื่อออกไปดูวัดแห่งนี้ โดยไม่มีข้อมูลใดๆ ทั้งประวัติวัดและเส้นทางไป

ลงมาปุ๊บก็มองหารถสองแถวสีแดงที่ฝั่งตรงข้ามทันที และมันก็มาจอดตรงนั้นจริงๆ 

วินาทีนั้นไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง กลัวแต่รถจะออกไปก่อน ใช่คันที่จะไปรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็วิ่งไปข้ามถนนไปขึ้นรถ(ไม่มีทางม้าลาย มีแต่ช่องผ่านพุ่มไม้) ชะเง้อดูตัวอักษรหน้ารถมีคำว่า "วัด.." อยู่ ๒ ชื่อ แต่ไม่ได้สังเกตชื่อที่สอง เห็นแต่ชื่อวัดหลวงพ่อโอภาสีเราก็โดดขึ้นรถเลย

รถแน่นใช้ได้ เราก็เบียดขอเขานั่งด้วย นั่งไปนานรถก็ออก

ถนนทางเข้าวัดเป็นถนนแคบๆที่สวนกันได้พอคัน คนขับแลดูต้องใช้สกิลขับรถสูงพอตัว ระหว่างขับผมดูทางไปตลอดเพราะกังวลว่าจะไม่ใช่ 

นั่งๆไปมีคนเริ่มลงจากรถบ้าง แต่ที่น่าสังเกตคือ หลายคนพอมีคนลงไปแล้วก็ไม่ได้ขยับตัวเองออกจากที่นั่ง ทั้งๆที่นั่งเบียดกันฝั่งละ ๖ คน ไม่รู้ว่าเพราะจะให้คนอื่นมานั่งหรือตัวเองขี้เกียจขยับตัวกันแน่

พอนั่งไปได้อีกหน่อย ก็เห็นป้ายเขียนวัดโพธิ์ทอง เลยถึงบางอ้อว่า ชื่อวัดอีกชื่อบนรถคือวัดนี้นี่เอง เมื่อรถผ่านวัดนี้เลยลงรถทันที

วัดโพธิ์ทองมีประวัติอะไรไม่รู้ แต่พื้นที่วัดกว้างขวางพอใช้ได้เลย แต่สิ่งแรกที่เห็นใกล้ๆหน้าประตูคือพระนาคปรกขนาบข้างด้วยครุฑ ด้านหน้ามีพระคเณศยืน สังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่

และที่สังหรณ์ก็เป็นจริง ฝั่งตรงข้ามโบสถ์ของวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานเหล่าพระเป็นเจ้ามากมายกลางแจ้ง ทั้งพระคเณศ พระศิวะ เห้งเจีย เจ้าแม่กวนอิม แม้แต่พระนเรศวรก็มี ไม่รู้เป็นแฟชั่นอะไรบางอย่างรึเปล่าที่ทำให้เกิดการตั้งรูปเหล่านี้ในวัดของพุทธแบบเถรวาท
ฝั่งตรงข้ามกันเป็นโบสถ์ใหม่ตามที่ฮิตกันเดี๋ยวนี้ที่ชอบสร้างโบสถ์ใหญ่ๆลวดลายนูนๆ แต่โบสถ์ปิดอยู่ รั้วก็ปิดเลยเดินรอบโบสถ์ ไปปะเข้ากับร้านขายขนมปังนึ่ง

ผมเป็นคนชอบขนมปังนึ่งไอน้ำมาก ชอบมาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนจะมีมาเป็นรถกระบะติดหลังคาและมีหลายไส้ ไปดูๆเล็งๆแล้วก็สอยไส้ไส้กรอกกับไส้สังขยามา(เสียดายเนยน้ำตาลยังไม่สุก) แล้วก็เดินกินตรงนั้นเลย ไส้กรอกอร่อยกำลังดี แต่สังขยาหวานไปนิดแต่ก็โอเคกับการกินบรรยากาศเก่าๆ

เวลาเดียวกันก็หันไปเห็นประตูโบสถ์เปิด ก็เลยไปด้อมๆมองๆอยู่หน้าประตู พระรูปหนึ่งก็เดินมาเลยขอเข้าไปไหว้พระในโบสถ์สักหน่อย พระท่านก็อนุญาต

พอเข้าไปก็เห็นพระอีกรูปกำลังนั่งสวดมนต์ พระพุทธรูปประธานดูเป็นพระเก่าแก่ต่างจากตัวอาคาร แต่จิตรกรรมที่นี่แม้จะใช้สีฟุ้งไปนิด แต่เรื่องที่เขียนกลับน่าสนใจ เหนือช่องหน้าต่างเขียนพุทธประวัติ แต่ต่ำลงเขียนเรื่องพระเจ้าอยู่หัวของเรา และที่เด็ดที่สุดคือฝั่งตรงข้ามพระประธาน เขียนภาพที่ในหลวงฉายพระรูปร่วมกับกษัตริย์จากนานาประเทศที่มาแสดงความยินดีในงานฉลองใหญ่
ผมอยู่ในนี้ไม่นานเพราะเกรงใจพระท่านเลยออกมา ปะกับน้องเหมียวตัวหนึ่งที่หันมามองอย่างระแวง ผมเป็นคนชอบแมว แต่เลี้ยงแมวไม่ได้ เลยชอบไปเล่นกับพวกมันตามวัด(ในยามกระเป๋าแฟบ)และคาเฟ่แมว(ในยามกระเป๋าตุง) แต่ตัวนี้ดูมันไม่เล่นด้วยเลยแค่ถ่ายภาพมาเก็บไว้

เสร็จจากวัดนี้ผมก็ออกมาจากหน้าวัด เจอป้ายชี้ทางไปวัดหลวงพ่อโอภาสี ก็เดินตามป้ายไปเรื่อย แต่ทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ต้องเดินเลาะขอบทางที่ไม่มีทางเดินให้เป็นกิจจะหลบรถกับแดดไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงวัดก็ใช้เวลานิดหน่อย 

วัดนี้ยิ่งดูมีพื้นที่กว้างกว่าวัดก่อน โบสถ์หลังใหญ่ตั้งตระหง่าานอยู่ ระเบียงคดกำลังสร้างยังไม่เสร็จดี ผมเดินวนจนเจอทางเข้าก็เดินเข้าไปดูข้างใน

พระพุทธรูปประธานเป็นพระพุทธชินราชตามคาดเดาเพราะเป็นอะไรที่ฮิตมากในเมืองไทยช่วงนี้ จิตรกรรมรอบๆเขียนเรื่องพุทธประวัติและชาดกปะปนกัน เหมือนช่างเห็นภาพไหนสวยก็เอามาใส่ๆๆโดยไม่ได้สนใจความต่อเนื่องของเรื่องราว บางภาพซ้ำกันอีกต่างหาก

เสร็จภารกิจในโบสถ์ก็เดินออกมาข้างนอก หันไปเจอเจดีย์ทรงระฆังหน้าตาประหลาด ก็เดินตามทาง ข้ามคลองเล็กๆไป พอเข้าไปใกล้ๆถึงเห็นว่าเป็นมณฑปยอดเจดีย์ 

พอกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ก็มีผู้หญิงที่นั่งแถวนั้นบอกว่าให้ถอดรองเท้าก่อน ตกใจนิดหน่อยเพราะไม่เห็นมีป้ายติดไว้ตรงไหนแต่เราก็ถอดตามมารยาท แต่ไม่รู้ว่าจะถอดไว้ตรงไหนเลยทิ้งไว้ตรงที่ยืนนั่น แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน

ด้านในเป็นที่ตั้งโลงของหลวงพ่อโอภาสี ดูแล้วน่าจะเป็นเกจิชื่อดังทีเดียวเพราะมีการทำอาคารครอบๆ ในทรงโดมที่เป็นองค์ระฆังด้านนอกเขียนภาพสวรรค์ ภาพพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อโอภาสีเอาไว้ด้วย 
ไม่รู้เพราะมาผิดช่วงรึเปล่า คนเลยไม่เยอะ(มาตอนเย็นมากๆ) แต่พระรูปนี้คงจะสำคัญจริงๆ กะว่ากลับบ้านจะลองค้นเรื่องท่านสักหน่อย

เสร็จจากวัดนี้ก็ดันนึกชื่อวัดพุทธบูชาออก วัดนี้อยู่ในหัวมาตั้งแต่ขึ้นม.๑ เพราะเวลารอรถกระป๋องไปโรงเรียนจะมีรถที่เขียนว่าไป"วัดพุทธ" อยู่ 

และพอจำได้ลางๆว่าอยู่ในเขตเดียวกันด้วย

เอาละวะ ไปต่อกันหน่อย แต่ก็กลัวหลงทางเลยเปิดแอพแผนที่ออฟไลน์ขึ้นมาดู 

สิ่งแรกที่เห็นคือ มันไม่มีทางครับ ถนนในแผนที่ขาด เป็นพื้นที่สีเทาที่ไม่มีอะไรข้างในเลย

เอาละสิ จะไปดี ไม่ไปดี ในหัวตอนนี้มีแต่เรื่องพวกนี้เต็มไปหมด

เอาวะ มาถึงที่แล้ว ลองเสี่ยงดูสักตั้ง

ผมตั้งต้นจากถนนที่ต่อจากวัดหลวงพ่อโอภาสีออกมา และเดินไปตามทางเรื่อยๆโดยไม่เข้าซอยเล็ก ทำใจดีสู้เสือไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าถูกทางรึเปล่า 

เส้นทางยังทอดยาวไปเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็กังวลว่าถูกทางไหม อีกใจหนึ่งก็ช่างมัน ออกไปถนนใหญ่ค่อยว่ากัน

ระหว่างทางผ่านทั้งบ้านเรือน ร้านค้า โรงงาน แม้แต่สวน มองไปบนฟ้ามีก้อนเมฆท้องฟ้าเป็นเพื่อน เลยไม่รู้สึกเหงาเท่าไหร่

และแล้วพระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้ง ป้ายคำว่าถนนพุทธบูชาโผล่มาต่อหน้า แทบอยากจะกระโดดด้วยความดีใจว่าเราไม่ผิดทางและเซ็งว่าแผนที่ฟรีนี่ไม่ครบถ้วนเอาเสียเลย

เดินตามป้ายมาจนกระทั่งออกถนนพุทธบูชาจนได้ ความยากต่อมาคือ มันไม่มีป้ายไปวัดพุทธบูชาเลย

ความทรงจำบอกผมว่า มีรถกระป๋องวิ่งไปวัดพุทธบูชา สายตาจึงเริ่มสอดส่าย พอเห็นรถวิ่งไปทางขวาปั๊บ ก็เดินตามไปแบบไม่คิดเลย

เดินไปๆๆ สักพักซุ้มประตูวัดก็โผล่มาตรงหน้า แถวนั้นคนเยอะมาก มีตลาดนัดข้างในด้วย ผมแวะซื้อน้ำขวดใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปในวัด

พื้นที่ลานด้านหน้าวัดอุทิศให้กับตลาดนัดขนาดบิ๊กเบิ้ม กว่าจะเข้าถึงพื้นที่วัด ตัวอุโบสถวัดนี้ก็ใหญ่โคตรๆอีกเช่นเคย ไปตอนพระกำลังสวดมนต์เลยเข้าไปในโบสถ์ได้

ด้านในก็มีพระพุทธชินราชเป็นพระประธานอีกเช่นกัน แต่จิตรกรรมที่นี่เขียนยิบย่อยกว่าวัดก่อน เป็นเรื่องราวในพุทธประวัติ

เสร็จจากภารกิจในโบสถ์ จากข้อมูลป้ายประกาศในวัดทำให้รู้ว่า มีป้ายเก่าแก่อยู่ที่วัดแห่งนี้บริเวณศาลาริมน้ำ ผมเลยเดินไปทางด้านหลังโบสถ์เพราะคิดว่าน่าจะอยู่ฝั่งนั้น

แล้วก็เจอจริงๆ เป็นป้ายเก่าๆสภาพโทรม ตัวอักษรบางตัวหลุดแล้ว แต่ข้อความบอกตำบล อำเภอ และจังหวัดยังใช้ชื่อธนบุรีทำให้ป้ายดูคลาสสิคขึ้นเป็นกอง

เสร็จภารกิจนี้ ด้วยความที่เวลาล่วงเลยมากแล้วเลยตัดสินใจกลับบ้านก่อน แต่ก็นั่นแหละ ความรีบร้อนไม่เคยส่งผลดี ผมขึ้นรถผิดสาย แทนที่จะพาไปส่งใกล้ๆบ้าน กลับไปส่งที่ตลาด๖๑ ผมเลยได้เค้กกลับมากินอีกชิ้นนึงก่อนกลับบ้าน

แต่แม้จะหลงบ้าง เดาบ้าง มั่วบ้าง แต่ทริปแบบนี้ก็เป็นการขัดเกลาตัวเองเหมือนกัน โดยเฉพาะสัญชาตญาณ เวลาไปอยู่ในจุดที่เราไม่รู้ ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ สัญชาตญาณนี่แหละ ที่จะเป็นตัวบอกเราว่า อะไรสำคัญหรือดีที่สุดในเวลานั้น