วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ขยะในมือท่าน ทิ้งลงถังเถอะนะ

พูดถึงเรื่องขยะทีไรจะอยู่ ๒ ประโยคแวบขึ้นมาในหัว

"ขยะในมือท่าน ลงขยะเถอะครับ"

"ตาวิเศษเห็นนะ ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง"

แต่ถึงจะมี ๒ ประโยคนี้ คนไทยก็ยังทิ้งขยะกันเรี่ยราด

ที่เจอจะๆวันนี้น่าจะฮาร์ดคอร์ที่สุดเท่าที่เคยเห็น

เหตุเกิดรถเมล์สายยาวสายหนึ่ง ผมนั่งแถวริมหน้าต่าง กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ

สักพักได้ยินเสียงหวือของวัตถุลอยไปในอากาศ

ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอผู้หญิงคนที่นั่งข้างหน้าโยนถุงใส่ผลไม้(ซึ่งยังมีผลไม้อยู่พอสมควร) ออกไปทางหน้าต่าง เฉี่ยวหน้าคนขับมอเตอร์ไซค์ตรงนั้นไป

ขว้างเสร็จสรรพเธอก็นั่งรถต่อไปไม่สนใจ

ในขณะที่คนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นและคนซ้อนหันมามองหน้าเธอเป็นพักๆ ก่อนจะเลิกสนใจไป

จริงๆส่วนตัวก็เคยทิ้งขยะลักษณะนี้อยู่ แต่จะทำเวลาที่รถขับชิดไหล่ทางและพยายามเล็งให้ตรงถัง(ซึ่งเบี้ยวประจำ)

แต่หนนี้รถวิ่งอยู่เลนที่ ๓ ห่างจากฟุตบาทเยอะมาก แต่เธอก็ยังขว้าง

ยิ่งไปกว่านั้น เธอมีเด็กเล็กมาด้วย(ไม่กล้าบอกว่าเป็นลูกเพราะไม่แน่ใจ อาจจะเป็นหลานก็ได้) และเด็กก็เหมือนจะมองตามการกระทำนั้น

เด็กยังเล็กๆอยู่ น่าจะอยู่ในวัยที่สังเกตสิ่งรอบตัวและจดจำ ถ้าวันข้างหน้า เด็กคนนี้เอาการกระทำแบบนี้ไปทำบ้างจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้าการขว้างของเด็กเกิดไปโดนใครเข้า อะไรจะเกิดขึ้นตามมา หรือถ้าการขว้างวันนี้ไปโดนหัวคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น

คุณแค่อดทนถือไว้ รอถึงป้ายที่คุณจะลอง แล้วหาถังขยะทิ้งมันลำบากนักหรือยังไง

หรือว่าเราต้องจัดแคมเปญ มีสโลแกน มีโฆษณารณรงค์ คนถึงจะกลับมาสนใจเรื่องนี้

ทั้งๆที่ทุกอย่าง แค่เริ่มที่ตัวเราก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดแยกขยะเปียก ขยะแห้ง ขยะรีไซเคิล ขยะอันตรายหรอก เริ่มที่ทิ้งขยะในมือลงในถังกันให้ได้เป็นกิจวัตรก่อน

ขยะในมือท่าน ลงถังเถอะครับ

ที่มาภาพ : http://www.psptech.co.th/uploads/1988/shop/201403/201403-13-094242_uA-0.jpg



วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

พระเป็นเจ้าสถิตทุกที่ในอินเดีย

วันนี้ลองเอารูปที่ไปอินเดียมานั่งไล่ดู

ตั้งแต่รูปสถานที่ต่างๆที่ไป ไปจนถึงรูปจิปาถะ

แล้วก็ไปสะดุดกับภาพเล็กๆภาพหนึ่ง ซึ่งพอเห็นแล้วเหมือนความรู้สึกตอนนั้นมันกลับมาหมด

เป็นภาพกระเบื้องแผ่นเล็กๆ มีรูปพระคเศศอยู่ ซึ่งไปเจออยู่ระหว่างทางที่เดินในมุมไบตอนกลางคืน ติดอยู่บนแนวซีเมนส์ที่กั้นขึ้นมาสำหรับปลูกต้นไม้

นอกจากพระคเณศแล้ว ก็ยังแผ่นกระเบื้องที่เรียงรายกัน ทำเป็นรุปเทพเจ้าต่างๆในศาสนาฮินดู

ตอนเห็นครั้งแรกรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงเอารูปเทพเจ้ามาประดับกันในที่แบบนี้

ยิ่งแปลกใจกว่า เมื่อสักพักก็มีผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งยื่นมือไปสัมผัสที่แผ่นกระเบืองนั้นแล้วมาแตะที่หน้าผากตัวเอง

ทำแบบนี้กับกระเบื้องทุกแผ่น!! ย้ำอีกครั้งว่าทุกแผ่น ซึ่งตรงนั้นมีประมาณ ๒๐ แผ่น

เป็นอะไรที่ขนลุกมาก รู้สึกเลยว่าความศรัทธาของคนฮินดูที่มีต่อเทพเจ้าของเขาเป็นอะไรที่อาจจะเหนือกว่าความศรัทธาในแบบพุทธศาสนาก็ได้

เพราะเราไม่นิยมนำรูปพระพุทธเจ้ามาประดับในจุดที่อาจจะถูกเหยียบหรือนั่งทับได้ แต่ที่นี่มี

ทำให้รู้สึกทันทีเลยว่า พระเจ้าสถิตอยู่ในทุกที่จริงๆ

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ถนนในมข. Guilty to Cross

เป็นคนไม่ชอบขึ้นสะพานลอยนะ ส่วนหนึ่งเพราะเข่าไม่ค่อยดี(แต่หลังๆมาดีขึ้น) แต่อีกเหตุผลที่สำคัญคือขี้เกียจ และรู้สึกว่า "การข้ามถนน" เป็นอะไรที่สะดวกกว่า
เวลาไปไหนมาไหนเลยข้ามถนนจนเป็นปกติ ข้ามตั้งแต่ ๒ เลน ไปจนถึง ๑๐ เลนก็ข้ามมาแล้ว
แถมเวลาข้ามก็ไม่ค่อยวอรี่กับทางม้าลาย บางทีก็ข้ามตรงทาง แต่ส่วนใหญ่จะไม่
หรือบางที่มีปุ่มให้กดสัญญาณก่อนข้ามก็ไม่ค่อยกด เพราะหลายครั้งที่กดแล้วมันไม่ทำงาน หลังๆมาเลยรำคาญข้ามมันเลย
จนได้มีโอกาสไปมหาวิทยาลัยขอนแก่น
จากที่สังเกตบริเวณหน้าคอมเพล็กซ์(ไปสิงแถวนั้นบ่อยเพราะฝั่งตรงข้ามเป็นหอสมุด อีกฝั่งเป็นร้านหนังสือ) เวลาคนจะข้ามจะต้องกดปุ่มแล้วรอจนกว่าสัญญาณไฟเขียวให้ข้ามจะขึ้น ถึงแม้จะข้ามตรงทางบ้าง ไม่ตรงทางบ้างก็ตาม(แต่ส่วนใหญ่จะตรง)
แถมรถที่ขับมาพอเจอสัญญาณบอกให้หยุดก็จะหยุด หยุดจนกระทั่งไฟเขียวให้รถวิ่งถึงจะออกวิ่ง
เห็นครั้งแรกค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เพราะอย่างที่เคยเห็นในกทม. พอคนข้ามเสร็จ รถก็ขับออกมาเลย ทั้งๆที่ยังเป็นไฟแดงอยู่ 
หรืออย่างพฤติกรรมส่วนตัวที่ข้ามไม่ตรงทางหรือไม่รอสัญญาณข้าม
แต่ก่อนหน้าที่จะเห็นตรงนี้ก็ข้ามตามปกติไปครั้งหนึ่งแล้ว
พอเห็นภาพพวกนี้ปุ๊บ ความรู้สึกผิดแล่นเต็มหัวไปหมด
ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
เลยรู้สึกว่า เป็นเพราะชีวิตคนกรุงเทพมันเร่งรีบเกินไปหรือเปล่า คนถึงได้เพิกเฉยกับเรื่องง่ายๆเหล่านี้ แค่หยุดรอสักไม่กี่วินาทีก็ไม่สามารรอได้เลยหรือ

แล้วก็รู้สึกว่า บางครั้ง เราก็คิดอะไรได้จากเรื่องง่ายๆเท่านี้เอง ไม่รู้เป็นความจงใจของใครหรืออะไรหรือเปล่าที่ทำให้เราคิดแบบนี้ออกมา

(ปล. จากที่ลองถามเด็กมข.ดู เขาบอกว่าก็มีคนที่ไม่ปฏิบัติตามเหมือนกัน)

คอมเพล็กซ์และถนนด้านหน้า
(ที่มาภาพ : http://sv6.postjung.com/picpost/data/109/109177-pic-21.jpg)

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

บันทึกของวันนี้ : หน่อไม้แห่งแรงบันดาลใจผ่านตัวหนังสือและภาพ

ผมเชื่อว่าทุกคนมีฮีโร่ประจำตัว
คนที่เป็นแรงขับให้เราเดินไปในเส้นทางที่เราอยากจะไปให้ถึง
เป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

ผมก็มี หลายคนเสียด้วย

ทั้งคุณพ่อ ครูบาอาจารย์ รุ่นพี่ หลายท่านเหล่านี้ล้วนเป็นแรงบันดาลใจใกล้ตัวที่ผมสัมผัสได้บ่อยครั้ง

แต่ก็ยังมีบางคน ที่ผมสัมผัสพวกเขา ไม่ใช่การเจอกันตรงๆ แต่ผ่านสื่ออื่นๆ 
ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ
ไม่ว่าจะเป็นภาพ
หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหว

คนหนึ่งในนั้นคือพี่เอ๋ หรือ นิ้วกลม

คนนี้ๆ เพื่อนผมเป็นคนแนะนำให้รู้จัก
เริ่มอ่านจาก HEAD ก่อนจะเลื่อนไปหาหนังสือซีรีย์การเดินทาง
ทั้งโตเกียว กัมพูชา เนปาล จีน ลอนดอน ฮ่องกง(กำลังพยายามหามาอ่าน)
ผมติดตามเส้นทาง วิธีการ รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งสอดแทรกคติวิธีคิดบางอย่างเอาไว้ ทำให้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่รู้เบื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางเล่ม ที่สถานที่ๆเดินทางไป เป็นที่ๆปกติแล้วไม่มีหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนจะพูดถึง ก็สามารถหาอ่านได้ในหนังสือของนิ้วกลม
จึงตัดสินใจเริ่มซื้อเก็บสะสม ตอนนี้มีได้ ๔ เล่มแล้ว ขาดเพียงเล่มกัมพูชาเล่มเดียว

อีกคนหนึ่ง ไม่สิ อีก ๒ คน คือพี่บอลและพี่ยอด พิธีกรรายการหนังพาไป 

จำได้แม่นว่าไม่ได้ดูรายการนี้ตั้งแต่ตอนแรกเพราะไม่ได้รู้สึกสนใจรายการแนวนี้มาเป็นทุนเดิม 
จนตัดสินใจดูตอนแรกคือตอนที่ไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟ เพราะเป็นคนที่ชอบดูพวกศิลปะโบราณ
ดูแค่ตอนเดียว หลังจากนั้นก็ติดงอมแงม ตามไปหาตอนแรกๆมาดู แล้วก็ติดตามดู
จากซีซั่น ๑ ไปสู่ซีซั่น ๒ และซีซั่น ๓ ที่เพิ่งลาจอไป
ผมชอบวิธีการเล่าเรื่อง วิธีการมองเรื่องราวต่างๆตรงนี้ของพี่ๆทั้งสองมาก
รวมไปถึงสถานที่หลายๆแห่ง ซึ่งบางครั้งไม่ใช่ที่ๆคนส่วนใหญ่รู้จัก หรือรู้จักแต่ไม่ได้มองในมุมมองเหล่านี้
เหมือนกับได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆให้กับความคิด
อีกสิ่งที่ประทับใจคือวิธีการท่องเที่ยว ซึ่งรู้สึกคล้ายกับตัวเอง เป็นแนวที่ผมสนใจอยากจะลองทำดูสักครั้ง เพราะเคยลองแต่ในประเทศ
ปัจจุบันผมเก็บเทปหนังพาไปเกือบทุกตอนที่ขวนขวายหามาได้เก็บใส่ไว้ในคอมตลอด และได้ซื้อหนังสือเล่มแรกที่พี่ๆเขียนวันนี้เอง

คนทั้ง ๓ คนนี้จึงถือเป็นทั้งครู เป็นทั้งคนสนิท ที่มองแรงบันดาลใจ แรงขับบางอย่างให้ผมลุกขึ้นมาขีดๆเขียนๆเรื่องราว ประสบการณ์การท่องเที่ยว ซึ่งเคยบันทึกเป็นไดอารี่ที่เนื้อล้วนๆ ไม่มีน้ำอะไร หรือโปสการ์ด ให้กลายเป็นเนื้อเรื่องอีกแบบหนึ่ง จนผลงานแรกเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นทุกวัน

รวมถึงทำให้ผมได้มองโลกในมุมมองที่ต่างไปจากที่เคยมอง 
เห็นสิ่งที่เคยเห็นในมุมมองที่เปลี่ยนไปมากขึ้น

ขอขอบคุณพี่ๆทั้ง ๓ ที่เป็นแรงขับดัน แรงบันดาลใจ ให้ผมครับ

ปล. วันนี้เพิ่งมีโอกาสได้เจอทั้ง ๓ ท่านเป็นครั้งแรก ได้เจอพี่เอ๋นิ้วกลมตัวเป็นๆ ได้พูดคุยกันสองสามคำแต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าจดจำ
ได้เจอพี่บอลพี่ยอด ซึ่งทักผมก่อนที่จะทักพวกพี่เขาซะอีก รู้สึกดีใจที่พี่เขาจำเราได้
ถ่ายกับพี่เอ๋ นิ้วกลม(ขออภัยไม่ได้ปรับแสง) ที่บูธสำนักพิมพ์ KOOB

ถ่ายกับพี่บอลและพี่ยอด ที่บูธสำนักพิมพ์ On Art