วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บันทึกย้อนหลัง ๒ วัน : สำรวจวัดนนท์-กทม. ภาค ๒ สำรวจเมืองกรุง


หลังจากเสร็จภารกิจจากวัดซองพลู ก็คุยกันว่าจะไปไหนกันต่อ โดยมีตัวเลือกสองที่ คือ วัดดุสิดาราม กับ วัดบางยี่ขัน

ก่อนหวยจะไปลงที่วัดบางยี่ขัน เพราะอยากไปดูธรรมาสน์ที่กำลังเป็นข่าวกันในหนังสือพิมพ์ว่าเพิ่งเจอแล้วก็ไม่ได้รับการดูแลดีเท่าที่ควร

พอเดินทางไปถึง ก็เดินไปที่กุฏิเจ้าอาวาสเพื่อยื่นหนังสือ พี่ยีนส์เลยถือโอกาสคุยกันท่านไปด้วย ด้วยความที่รู้จักกันอยู่ก่อน เพราะเคยมาติดต่อเพื่อเข้าไปดูในอุโบสถมาก่อน แล้วก็ถือโอกาสติดต่อท่านเจ้าอาวาสเพื่อสัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ไปด้วยเลยในตัว

หลังจากคุยไปสักพัก ท่านก็พาไปดูยอดและบันไดธรรมาสน์ที่นำมาเก็บไว้ด้านใน ซึ่งยังอยู่ในสภาพที่โทรมตามอายุ และยังมีชิ้นส่วนอื่นๆเก็บไว้ในถุง คล้ายถุงข้าวสารครึ่งกระสอบที่บ้าน

ส่วนยอดธรรมาสน์ที่เก็บเอาไว้

หลังจากคุยกันสักพัก ท่านก็บ่นว่าตอนมีอาจารย์จากศิลปากรมาก็เอาแต่บ่นๆว่าๆ ทำไมไม่ถามท่านสักหน่อยก่อนจะว่าอะไร เพราะชิ้นนี้ท่านก็เพิ่งขนลงมาไว้ข้างล่าง เพราะแต่เดิมเก็บไว้ข้างบน 

เนื่องจากแต่เดิมธรรมาสน์นี้เก็บไว้ในศาลาการเปรียญหลังเดิมซึ่งรื้อไปแล้ว 

ท่านยังบ่นถึงข่าวที่ออกไปว่าทำให้ท่านเสียหาย เพราะในข่าวออกไปแนวที่ทำให้ท่านเสียหาย 

หลังจากถ่ายรูปกันสักพัก ท่านก็พาไปดูส่วนองค์ธรรมาสน์


 ท่านเจ้าอาวาสกับธรรมาสน์

ธรรมาสน์วัดบางยี่ขันส่วนองค์ เก็บไว้ใต้หอระฆัง สีฟ้าๆทางมุมซ้ายล่างคือเรือพายของวัด เก็บไว้ที่เดียวกัน

สิ่งที่เห็นจากส่วนที่เหลือคือ แม้จะโทรม แต่ชิ้นส่วนยังเหลืออยู่ครบ ถ้ารวมกับที่เก็บไว้ในกุฏิน่าจะต่อเป็นชิ้นสมบูรณ์ได้เหมือนต่อเลโก้ เพราะมีทั้งส่วนที่ยังติดที่เดิม และช่องสำหรับเสียบ ถ้ามีงบสักหน่อยน่าจะบูรณะให้สมบูรณ์เต็มองค์ได้

ท่านเจ้าอาวาสเล่าอีกว่า ตอนน้ำท่วมใหญ่ครั้งล่าสุด ให้พระเณรช่วยกันขนมาเก็บกันอย่างทุลักทุเล ข้างๆธรรมาสน์ยังมีเรือที่ใช้ตอนน้ำท่วมอยู่ด้วย


นอกจากธรรมาสน์ท่านยังได้ชี้ให้ดูหน้าบันเดิมของศาลาการเปรียญที่ถอดมาไว้กับศาลาอีกหลัง



หน้าบันเดิมของศาลากาเปรียญ


โดยความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องธรรมาสน์วัดบางยี่ขันในแง่ของการเก็บรักษาก็อาจจะไม่ได้ดีมาก อาจเพราะยังไม่มีที่เก็บที่เหมาะสม และสภาพยังไม่พร้อมใช้งานก็ได้ 

ส่วนในเรื่องความข้างหนึ่งจากข่าวที่ออกไปกับความอีกข้างหนึ่งจากปากท่านเจ้าอาวาส บอกตามตรงว่าไม่รู้จะเชื่อข้างไหนเหมือนกัน เนื่องจากข่าวในบางครั้งต้องเขียนให้ดูน่าติดตาม
ส่วนท่านเจ้าอาวาสผมก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ถึงจะฟังอีกปากจากพี่ยีนส์ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

แต่ถ้ามองในมุมของพระ ก็เห็นใจท่าน เพราะเท่าที่อ่านในข่าว ท่านโดนโจมตีเละเหมือนกัน 

จนกว่าความจริงจะเป็นที่ประจักษ์ ก็รอดูกันต่อไปสำหรับเรื่องนี้ ผมไม่ขอคอมเมนต์ใดๆแล้วกัน

หลังจากลาท่านเจ้าอาวาสเพื่อไปชมอุโบสถต่อ ก็เดินข้ามมาอีกฝั่ง มีพี่วินมอเตอร์ไซค์ถือกุญแจเปิดรอแล้ว ให้เราเข้าไปได้ เสร็จแล้วให้เรียกเขาด้วย

วัดแห่งนี้มีประวัติว่าสร้างมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย และมีการปรับปรุงในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๓

อุโบสถ วัดบางยี่ขัน

เมื่อเข้ามาด้านใน สิ่งแรกที่เห็นคือพระพุทธรุปจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ฐานชุกชี(ฐานพระพุทธรูปหลัก) และรอบๆฐานทั้งสามด้าน เว้นด้านหน้าเป็นอาสน์พระ ซึ่งตามปกติจะให้เฉพาะพระขึ้นไปนั่งเท่านั้น

แต่ครั้งนี้ เนื่องจากไม่มีพระอยู่ที่นี่ จึงขอถือวิสาสะขึ้นไปยืนเพื่อประโยชน์ในการถ่ายรูปเก็บข้อมูล

วัดนี้เข้ามาข้างในเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ก็ยังมีมุมที่ยังให้ดูอีกมากมาย
หมู่พระประธาน(องค์ประธานโดนบังอยู่ สังเกตดูพระรัศมีด้านหลังสุด นั่นคือพระประธานของวัด)

จิตรกรรมที่วัดแห่งนี้เขียนภาพทศชาติชาดก(คือเรื่องราวสิบชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า) แต่ไม่ครบ ขาดเวสสันดรชาดกไปหนึ่งเรื่อง 

แต่ Super Highlight ที่วัดแห่งนี้ คือภาพมโหสถชาดก ซึ่งที่นี่ให้ความสำคัญมาก มากขนาดนี้ใช้พื้นที่หน้าพระประธานยกให้ชาดกตอนนี้ แม้น้ำจะกัดกร่อนภาพส่วนล่างจนลบเลือนไปหมดสิ้น เหลือแต่ท่อนบน

แต่ภาพด้านบนที่เหลือคือความอลังการ ฉากมโหสถห้ามทัพ มีมโหสถบัณฑิตยืนบนเชิงเทินกำแพง ทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตกำลังยกมา เต็มไปด้วยชาวต่างชาติต่างภาษาในกองทัพ 

ยิ่งกว่าฉากเหล่านี้ ในผนังนี้มีภาพต้นเงาะ ซึ่งเป็นภาพบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญ เนื่องจากในย่านนี้เคยมีผลไม้มีชื่อ คือ "เงาะบางยี่ขัน" ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วอยู่


มโหสถชาดก วัดบางยี่ขัน ยาวใหญ่ ใหญ่มาก ละเอียดมาก

เงาะบางยี่ขัน(ลูกแดงๆมีขนนั่นแหละ)

มีหมดทั้งฝรั่ง จีน แขก

อีกหนึ่งภาพเอกของที่นี่คือมารผจญ เขียนอยู่เหนือภาพมโหสถเมื่อกี้ รายละเอียดเยอะมาก ยิบมาก พระแม่ธรณีก็งามมากๆด้วยเช่นกัน

หนึ่งในมารผจญที่ละเอียดยิบที่สุด ทั้งในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ปริมาณภาพบุคคล

แต่นอกจากภาพหลักๆเหล่านี้ ยังมีภาพสนุกๆมีหลายภาพ อาทิเช่น เทวดาเหาะ แต่ทำเป็นรูปคนจีน ซึ่งดูไม่เข้าพวกอย่างแรง
และยังมีภาพที่เรียกว่า ภาพเชิงสังวาส(ภาพการร่วมเพศ) แต่หากันเองนะครับ ภาพพวกนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนเนื้อเรื่องหลัก(เรียกว่า ภาพกาก) จึงมักวาดเล็กๆ แทรกๆอยู่ในภาพหลัก

อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก

ไม่มีคำบรรยายใดๆ ดูกันเอาเอง

แม้ทั้งวันจะได้ไปแค่ ๓ วัด แต่ก็เป็น ๓ วัดที่คุ้มค่า คนเราเดี๋ยวนี้เที่ยววัดกันในลักษณะทัวร์ทำบุญ เข้าวัด ดูพระ ไหว้พระ กราบพระ ถ่ายรูปตัวเองกับสถานที่หน่อย แล้วก็กลับ

อยากให้ทุกๆคนลองเที่ยวอีกสักมุมหนึ่ง อยู่กับวัดไม่กี่วัด แต่อยู่ให้นาน ซึมซับเอาเรื่องราวที่สถานที่เหล่านั้นกำลังกระซิบบอกเรา เราอาจจะได้มุมมองใหม่ๆเพิ่มขึ้นก็ได้

ใครจะรู้

ขอขอบคุณพี่ยีนส์ ผู้ชักชวนและชี้ชวนให้ดูของน่าสนใจมากมายครับ

1 ความคิดเห็น: