วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกของวันนี้ : รถเมล์

รถเมล์เป็นพาหนะสำหรับผู้มีเงินน้อย

ยิ่งเป็นรถเมล์ฟรีนี่ อย่างแน่นเลย

หรือรถเมล์บางคันมีน้อย ก็แน่นเอี๊ยด

คนยิ่งมาก เรื่องก็ยิ่งมาก

ผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้นมาบนรถเมล์

บางคนลุกให้เมื่อเห็นเด็กหรือคนชราขึ้นมา ในขณะที่บางคนแกล้งหลับเพื่อที่จะไม่ต้องลุก

บางคนยอมขยับเข้าไปยืนข้างในเพื่อให้คนที่ขึ้นมาใหม่มีที่ยืน แต่บางคนกลับยืนเฉยๆไม่สนใจใคร

บางคนยอมขยับลงจากรถก่อนทั้งที่ไม่ใช่ป้ายของตัวเองเพื่อให้คนข้างในลงก่อน ในขณะที่บางคนพยายามเบียดไปข้างๆเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องลงแล้วขึ้นมาใหม่

บางคนเห็นคนถือของมาหนักก็ช่วยถือ แต่บางคนก็แค่มองแต่ไม่สนใจ

กระเป๋ารถเมล์หรือคนขับรถบางคนพื่อบอกให้รู้ว่าป้ายต่อไปคืออะไร ในขณะที่บางคันก็ทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่น

รถเมล์เป็นสถานที่ๆเหมาะกับการสังเกตคนประเภทต่างๆเหมือนกันนะ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกของวันนี้ : ปากกาแดง

วันนี้ตอนกำลังนั่งนึกงานอยู่ พอดีนึกอะไรขึ้นมาได้กำลังจะจด 
ล้วงเข้าไปในกระเป๋าดินสอ(ซึ่งไม่ค่อยได้จัด) 
สิ่งที่พบคือ ปากกาน้ำเงินไม่มี(เอาไปใช้โน่นนี่แล้วไม่ได้เก็บเข้าที่)
แม้แต่ดินสอก็หัก(ดินสอกดหัก) ใช้ไม่ได้อีก
เหลือแต่ปากกาแดง

พอหยิบขึ้นมาจะเขียน ก็เกิดลังเลว่าจะเขียนดีไหม แม้มันจะยังคงมีหมึก แม้มันจะสามารถขีดเขียนได้เหมือนปากกาน้ำเงิน

มนุษย์เราส่วนใหญ่ เวลาจะขีดเขียนอะไร ก็นิยมใช้ปากกาน้ำเงินไม่ก็ปากกาดำ หรืออาจเป็นดินสอ
ไม่ใช่ปากกาแดง(ยกเว้นบางคน ที่ใช้ปากกาเป็นสิบแท่งหลายเฉดสี อาจมีใช้สีแดงบ้าง ล่ะมั้ง)

อาจเพราะเราติดภาพสมัยเด็กว่า 
ปากกาแดงหมายถึงความผิดพลาด เพราะครูจะวงในจุดที่เขียนผิด
ปากกาแดงหมายถึงการแก้ไข เพราะครูจะเขียนแก้ด้วยสีแดง
ปากกาแดงหมายถึงการวัดผล เพราะครูจะเขียนให้คะแนนด้วยปากกาแดง

ในขณะที่สีน้ำเงินหรือสีดำ กลับมีความหมายถึงการเริ่มต้น การลงมือทำ การสร้างสรรค์

แต่ใครล่ะที่เป็นคนตัดสินเรื่องนี้
พระเจ้า? คุณครู? ผู้ใหญ่?

"ตัวเรา" ต่างหากล่ะ ที่เป็นผู้กำหนด

แต่เรา ควรจะตีค่าของเหล่านี้ เพียงเพราะ "สี" เท่านั้นหรือ

เพราะคุณค่าจริงๆของวัตถุอย่าง "ปากกา" ไม่ได้อยู่ที่ "สี" ของมัน แต่อยู่ที่ "ความสามารถ" ของมันในการเขียนต่างหาก




บันทึกจากแดนภารตะ : โอ้ โห ว้าว

ช่วงวันพ่อที่ผ่าน ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับอินเดียเป็นครั้งแรกในชีวิต

ด้วยความที่ครั้งนี้ไปกับทัวร์ ก่อนไปเลยอ่านไปแค่เรื่องสถานที่ที่จะไป ซึ่งมีแต่วัดถ้ำไม่ว่าจะเป็น เอเลฟันตะ อชันตา เอลโลร่า ภาชา การ์ลา และเพดสา(หลายชื่ออาจไม่ค่อยคุ้นหูนะครับ)

ด้วยความที่อยากให้ความรู้สึกที่ได้สัมผัสอินเดียสดใหม่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ความรู้สึก ที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ในความทรงจำคือความยิ่งใหญ่ ผมได้แต่พูด

"โอ้"

"โห"

"ว้าว"

มากมายจนนับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นความอัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ความอัศจรรย์ของธรรมชาติ หรือความอัศจรรย์ของผู้คน

ทุกอย่างยังคงตราตรึงอยู่ในหัว และคงไม่มีทางลืมมันไปง่าย


แล้วสักวัน ผมจะกลับไปเหยียบอีกครั้ง

อินเดีย
กลุ่มถ้ำเอลโลร่า ถ้ำที่ขุดเข้าไปในหน้าผา

เทวาลัยไกรลาส เทวาลัยที่ขุดภูเขาสร้างเทวาลัย ใช้เวลาร่วม ๑๐๐ ปี ก็ยังไม่เสร็จ

มองออกนอกหน้าต่าง เจอภูเขาขนาดมหึมาเรียงตัวกันอย่างยิ่งใหญ่

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกของวันนี้ : จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม


จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม

เป็นสโลแกนของรายการ "หนังพาไป" ของพี่บอลกับพี่ยอด

และเป็นคำพูดที่ติดอยู่ในความคิดของตัวเองมาตลอด

จำได้ว่าเริ่มดูตั้งแต่ช่วงต้นๆ แต่ไม่ได้ดูตั้งแต่ตอนแรก 

ความรู้สึกแรกกับรายการนี้คือ "เฮ้ย เจ๋งว่ะ" เพราะพี่ๆทั้งสองคนเที่ยวด้วยวิธีที่ประหยัด คุ้มค่า ผจญภัย และสนุกสนาน

เป็นการท่องเที่ยวที่สะท้อนให้เห็นมุมมองต่างๆ ทั้งด้านที่ดี และด้านที่ไม่ดี ผ่านมุมมองของคนสองคน

และรู้สึกว่า วิธีการเที่ยวของตัวเองไม่ได้ต่างจากที่พี่ๆเขาไปกันเลย แม้จุดประสงค์อาจจะต่างกันบ้าง แต่วิธีการแทบไม่ต่างกันเลย

แถมบางอย่างที่พี่เขาทำ ก็เป็นสิ่งที่อยากลองแต่ยังไม่เคยลอง เช่น โบกรถ

และทำให้รู้ว่า วิธีการเที่ยวของตัวเองไม่ได้แปลกประหลาด แต่ก็มีคนเที่ยวแบบเดียวกันอยู่

และยังเป็นแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ตัวเองอยากทำตาม อยากออกไปดูโลก อยากไปสัมผัสในทุกๆมุมของสถานที่ที่ตัวเองไป ด้วยสายตาของตัวเอง ไม่ใช่โดยสายตาและคำพูดของคนอื่น

เพราะในทุกเมือง ไม่ว่าจะเป็นลอนดอน มุมไบ ปารีส ลอสแองเจลิส หรือแม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ย่อมมีทั้งด้านที่ดี และด้านที่ไม่ดี

แต่สื่อส่วนใหญ่จะสะท้อนแต่ด้านดีๆออกมา แต่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นอีกมุมนึง 

การสัมผัสด้วยมือตัวเอง เห็นด้วยตาตัวเอง ฟังด้วยหูตัวเอง สูดกลิ่นด้วยจมูกตัวเองต่างหาก ถึงจะทำให้เราเข้าใจอย่างแท้จริง

ขอปิดท้ายด้วย สามคำ กับรายการนี้ที่ไปตอบจนได้เสื้อมา

Sur-Vi-Val





ภาพจากงานที่ตึกไทยพีบีเอส ซึ่งไม่มีโอกาสได้เข้าร่วม ได้แต่ไปเกาะหน้างาน


วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกของวันนี้ : ว่าด้วยการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพ

รู้สึกวันนี้ตัวเองมาแปลกๆ 
สงสัยเพราะไปอ่านหนังสือ New York 1st Time แน่ๆ
อ่านไปถึงบท Don't Stop วิถีชีวิตเฮลตี้ครั้งแรก
แล้วก็มาย้อนดูตัวเอง

เมื่อก่อนก็เป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัวนะครับ
ในที่นี้คือเรื่องกิน 
เป็นคนกินจุกจิก กินเยอะ บางทีอิ่มแล้วแต่ของมันน่ากินก็กินอีก กินบุฟเฟต์บ่อยเเละกินนาน
แถมไม่ออกกำลังกายอีกต่างหาก

คือเคยออกนะ ออกหนักมากอยู่ช่วงเดียวของชีวิต คือตอนจะสอบรด. ช่วงนั้นทั้งวิ่ง ซิทอัพ วิดพื้น เรียกได้ว่าทำทุกอย่างเพราะกลัวสอบไม่ผ่าน(แต่ก็ซิทอัพไม่ผ่านอยู่ดี ส่วนวิ่งก็ฉิวเฉียดสุดๆ)

จนมาวันหนึ่ง ไปเปิดดู VRZOChannel เจอรายการชื่อ WTF(What The Fat นะครับ ไม่ใช่ What The Fxxk)
ไอ้เราก็ไม่รู้ว่ารายการอะไรหรอก แต่ด้วยความที่รายการขึ้นป้ายว่าเป็นของ VRZO(เป็นแฟนคลับอยู่) ก็เลยลองดู
รายการนี้เป็นรายการที่ว่าด้วยการออกกำลังกาย และ การกิน โดยมีตัวละครเอกคือ พี่จอร์จ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนรายการตั้งกะตอนนู้นจะจำภาพได้ว่าพี่จอร์จเป็นคนอ้วน
ทุกๆตอนจะมีการชั่งน้ำหนัก ดูพัฒนาการในแต่ละสัปดาห์ไป

ตอนดูครั้งแรก รายการก็ออนแอร์ไป 4 ตอนแล้ว เราก็เลยย้อนมาดูตั้งแต่ตอนแรกแบบมาราธอน 4 วันติดกัน
พอดูไปก็เห็นว่า เฮ้ย พี่เขาลดได้จริงๆว่ะ
ก็เลยหันมาดูตัวเอง ส่องกระจกดูพุงตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ซึ่งเราก็เห็นไอ้อ้วนคนหนึ่งอยู่ในกระจก(ตัวเองนั่นแหละ)

นับจากวันนั้น ก็เลยลุกขึ้นมาออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
เป้าหมายยอมรับว่าไม่ได้ตั้งไว้เท่ากับพี่จอร์จ เพราะเป้าหมายแรกคืออยากดึงน้ำหนักลงมาสัก 10 กิโล

วันแรกก็ชั่งน้ำหนักตัวเองก่อนเลย 79 กิโลกรัม(ประจานตัวเองซะอย่างนั้น)

ช่วงแรกเป็นอะไรที่ยากมาก ยากจริงๆ ทรมานในบางครั้งด้วย
เพราะเราเป็นคนชอบกินเนื้อมากๆ ข้าวด้วย ก๋วยเตี๋ยวด้วย แต่ไม่โปรดปรานผัก ผลไม้ 
พอมาลดน้ำหนัก ก็ต้องลดไอ้ที่ชอบ เพิ่มไอ้ที่ไม่ชอบเข้าไป
แถมออกกำลังกายก็อีก ไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องเจียดเวลาเล่นคอม  1 ชั่วโมงเพื่อทำอะไรพวกนี้(ช่วงนั้นติดคอมมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังติด แต่ดีขึ้นเยอะ)
ต้องมานั่งปั่นจักรยานอยู่กับที่ ยกเวท ทำท่าออกกำลังกายต่างๆ โดยดูท่าในรายการเป็นหลัก
ส่วนเรื่องอาหารคงทำตามเขาไม่ไหว แต่ก็พยายามเลือกกินมากขึ้น

พอผ่านไปสักสองอาทิตย์มาลองชั่งดู เฮ้ย ตูลดไป 2 กิโลกรัมแล้ว 
เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย มันเห็นผลว่ะ ลดได้จริงๆด้วย
ทีนี้ล่ะ ฮึดเลย

จากไอ้ที่ไม่คุ้น ไม่ชิน มันก็เริ่มคุ้นเริ่มชิน 
จากไอ้ที่ยาก ก็เริ่มง่าย
ทีนี้ล่ะสบายเลย

รายการ What The Fat ออนแอร์สัปดาห์ละตอน 12 ตอน เป็นเวลา 3 เดือน 
เราก็ใช้เวลาเท่าเขา
ตอนใหม่ออนแอร์ก็รีบเปิดดู ดูพี่เขา แล้วก็ย้อนมาดูตัวเอง

3 เดือนผ่านไป ชั่งน้ำหนักตัวเองอีกครั้ง
เหลือ 67 กิโลกรัม
ลดไป 12 กิโล!! 
ถือว่าเกินเป้าหมายไปนิดหน่อย

แต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจนะ เพราะเดินมาถึงจุดนี้แล้ว จะให้กลับไปเป็นอย่างเก่าก็คงไม่เอา
ก็เลยดูแลตัวเองมาเรื่อยๆ

เดี๋ยวนี้ขี้เกียจขึ้น(ยอมรับโดยดุษฎี) ออกกำลังกายไม่ได้เท่าเก่า แต่ก็ยังออกกำลัง อย่างน้อยก็ปั่นจักรยานอยู่กับที่วันเว้นวัน และควบคุมอาหาร

น้ำหนักก็ขึ้นๆลงๆอยู่ช่วงนี้ ซึ่งโดยส่วนตัวค่อนข้างพอใจแล้ว ไม่ได้อยากลดไปมากกว่านี้ แล้วก็ไม่ได้อยากมีกล้ามล่ำไปกว่านี้

ที่เขียนเล่าเรื่องตัวเองมาตั้งยาวนี่ไม่ใช่อะไรหรอก
แต่รู้สึกว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงมันจะมีที่มา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองให้ได้ก่อน แล้วความเปลี่ยนแปลงที่เหลือจะตามมา
แรกๆอาจจะยาก แต่ถ้าชินแล้วจะสบายมาก

จุดเปลี่ยนของคุณล่ะ อยู่ที่ไหน
ลองมองดูรอบๆตัวคุณสิ มันอาจจะอยู่ใกล้ๆคุณจนคาดไม่ถึงก็ได้

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกการเดินทาง : The Story of รถไฟ EPISODE ของกิน

ใครชอบนั่งรถไฟบ้างงงงงง

เราอาจจะได้คำตอบทั้ง ชอบ และ ไม่ชอบ

ฝ่ายชอบก็จะอธิบายว่า ชิวๆสบายๆ นั่งกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ

ฝ่ายไม่ชอบก็จะให้เหตุผลว่า ช้า ไม่ตรงเวลา

แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบนั่งรถไฟมาก

อาจเพราะเป็นการเดินทางที่ดูชิวๆสบายๆ ไม่รีบไม่ร้อน(ออกแนวถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง) แล้วก็ดูคลาสสิค ได้บรรยากาศวินเทจนิดๆ

แต่อีกสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรถไฟก็คือ "อาหาร"

ตลอดการเดินทาง จะมีพ่อค้าแม่ขายถือตะกร้าหรือกระติกพร้อมอาหารหลากหลายแนวมาให้เลือกซื้อเลือกกิน 

เรียกได้ว่า ต่อให้ไม่ได้กินข้าวมา ก็สามารถอิ่มได้บนรถไฟ

ของกินมีตั้งแต่เบสิคๆ พวกน้ำเปล่า น้ำอัดลม ข้าวกล่อง ข้าวเหนียว+หมู ไก่ เนื้อ(ทั้งทอด ปิ้ง) มาม่า กาแฟ โอวัลติน(จะมีกระติกน้ำร้อนมาด้วย)

ไปจนถึงของดีประจำย่าน เช่น ถ้าอยู่แถวอยุธยาก็จะมีโรตีสายไหม ถ้าเพชรบุรีก็จะหม้อแกง

นอกจากนี้ ยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่แบกถาดมาขายตามสถานีที่รถไฟจอดด้วย เช่นไอติมกะทิ ข้าวกล่อง

บรรดาแม่ค้าเหล่านี้จะเดินไปตามโบกี้ต่างๆ พร้อมเชิญชวนให้ซื้อ บางครั้งก็ถามกับผู้โดยสารโดยตรงเลยก็มี พวกเขาจะขึ้นจากสถานีหนึ่งและลงที่อีกสถานีหนึ่ง ก่อนจะขึ้นอีกขบวนเพื่อกลับไปที่แรกและวนกลับมาอีก

เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

เพราะฉะนั้น ใครนั่งรถไฟสายไหนบ่อยๆ จะแทบจำหน้าพ่อค้าแม่ค้าได้ เพราะหน้าเดิมๆประโยคเดิมๆจะลอยมา

ผมเป็นอีกคนที่ขึ้นบ่อย โดยเฉพาะสายเหนือ ก็จะเห็นแม่ค้าคนเดิมๆมาขาย กินมาจนจะครบทุกเจ้าจนรู้รสชาติ ส่วนใหญ่เท่าที่เคยกิน(นั่งไม่เกินลพบุรี) ที่โดนที่สุดคือไอติมที่สถานีชุมทางบ้านภาชี ได้รสกะทิเต็มๆ ถ้วยเล็กมาพร้อมหลอดดูด

ส่วนสายตะวันออกเท่าที่เคยลอง วุ้นกะทิสลิ่มถือว่าถูกปาก ไม่หวานมาก ได้รสสลิ่มด้วย กะทิก็หอม

สายตะวันตกจะมีที่กินบ่อยคือบะหมี่แห้งชูรส(ใส่เยอะจนเห็นชัด) ที่ชอบไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นขนาด เพราะมีให้เลือกตั้งแต่ ๕ บาท (กินคำเดียวหมด) ๑๐ บาท(กินสองคำหมด) ใส่มาในกระทงน่ารักดี

เหลือสายใต้ยังไม่เคยลอง ถ้ามีโอกาสจะต้องไปลองสักครั้ง

เพื่อนๆท่านไหนที่นั่งเป็นประจำ น่าจะมีของกินประจำใจบ้าง(มั้ง) ส่วนใครที่ไม่เคยหรือไม่ค่อยได้ขึ้น ก็ลองดูสักครั้งก็ไม่เลวนะครับ 

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกจิปาถะ : ท้องฟ้า

เคยเงยหน้ามองท้องฟ้าไหม

ท้องฟ้าที่ไม่ใช่ท้องของคนชื่อฟ้า

แต่เป็นผินผ้าสีฟ้าขนาดใหญ่ที่คลุมโลกเราไว้เหนือหัว

ใครๆก็ต้องเคยมองมัน ถ้าใครไม่เคย แสดงว่าคนๆนั้นชีวิตเอาแต่ก้มหน้า

เมื่อก่อนผมดูท้องฟ้าบ่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร รู้แต่มันอยู่ตรงนั้น แล้วก็สวยดี

หลังๆมานี้เริ่มดูบ่อยขึ้น บางครั้งก็ถ่ายรูปเก็บไว้ในกล้อง(ส่วนใหญ่คือกล้องมือถือเพราะพกสะดวก)

พอมาลองดูบ่อยๆ บางครั้งท้องฟ้าก็ทำให้เราคิด

เพราะมันไม่เคยเหมือนกัน แม้แต่วันเดียว

วันนี้อาจจะฟ้าเปิด(ถ้าหลังฝนจะเป็นสีฟ้ามาก ถ่ายรูปสวย) วันก่อนอาจจะฟ้าครึ้ม(ผมเรียกฟ้าเน่า เพราะถ่ายรูปไม่สวย) วันต่อมาอาจมีเมฆบางส่วน อีกวันนึงอาจจะเมฆบังตะวัน

ท้องฟ้าไม่เคยปรากฏมาซ้ำหน้า ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามแต่สภาพอากาศ

เหมือนกับแต่ละวันของเรานั่นแหละ

เพราะไม่มีวันไหนที่จะเหมือนกัน ๑๐๐ เปอร์เซนต์

เราอาจจะรู้สึกว่าวันนี้ก็ไม่เห็นต่างจากเมื่อวานเลย 

แต่ถ้าดูละเอียดๆเราอาจจะมองเห็น เพราะวันนี้เราไม่ได้ขึ้นรถเมล์คันเดียวกับเมื่อวาน(ยกเว้นจะบังเอิญมากๆ) วันนี้เราไม่ได้กินข้าวที่เดียวกับเมื่อวาน(หรือยกเว้นเราจะกินอยู่เมนูเดิมซ้ำๆ) วันนี้เรากลับบ้านไม่ใช่เวลาเดิม(ยกเว้นใครสักคนจะบันดาให้มันเกิดขึ้น)

วันนี้ก็คือวันนี้ เมื่อวานก็คือเมื่อวาน พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้

ไม่มีวันใดที่เหมือนกัน เฉกเช่นท้องฟ้า ที่ไม่เหมือนกันแม้สักวันเดียว

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกวันเกิดปีที่ ๒๔

วันครบรอบวันแก่เวียนมาอีกหนแล้ว

แถมยังเป็นวัดเอดส์โลกด้วย(ยังผลให้เกิดการล้อโดยเพื่อนๆตั้งกะพวกมันรู้ว่าตรงกัน)

สำหรับหลายๆคน วันเกิดคือวันที่ต้องมีการฉลอง ทั้งโดยครอบครัว หรือเพื่อนๆ มีการเป่าเทียน แกะกล่องของขวัญ ดูเป็นงานรื่นเริงสนุกสนาน

แต่สำหรับส่วนตัว วันเกิดสำหรับผมไม่ได้ต่างอะไรกับวันอื่นๆ อีก ๓๖๕ วัน ที่ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป อาจจะพิเศษตรงที่เราจะมีอายุเพิ่มอีกหนึ่งปี

เมื่ออายุเพิ่ม ภาระก็เพิ่ม เราห่างจากความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหนึ่งปี ทำให้มองอะไรต่างไปจากสมัยเป็นเด็ก

ยังจำได้ว่าสมัยเด็กๆ เวลาวันเกิด คุณครูก็จะประกาศในห้อง แล้วทุกคนก็จะร้องเพลงอวยพรวันเกิด แล้วผมก็จะเดินแจกขนมให้เพื่อนๆ

เวลาอยู่บ้านก็มีเค้กให้เป่า มีคนร้องเพลงให้

ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ของเหล่านี้ค่อยๆหายไปจากขีวิตผม

ถามว่าอาลัยอาวรณ์ไหม ก็ไม่

สิ่งที่ผมทำในวันเกิดเป็นประจำทุกปีคือไปใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารเช้าให้พระที่วัดแถวๆบ้าน(เดี๋ยวนี้เป็นวัดจากแดง เพราะเคยบวชที่วัดนี้)

หรือถ้าเมื่อก่อน ผมก็จะฉลองเงียบๆ ซื้อของขวัญให้ตัวเองสักชิ้น(ส่วนใหญ่เป็นหนังสือ) หรือหาอะไรแจ่มๆราคาแพงกว่าที่กินปกติสักหน่อย ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองสักครั้ง

เวลาอยู่บ้านก็จะมีคนในครอบครัวร้องเพลงให้ หรือบางปีก็อาจจะมีเพื่อนๆเซอร์ไพรส์บ้าง ก็ดูเป็นรสชาติของชีวิตดี

เพราะสำหรับผม คิดว่าความสำคัญจริงๆของวันเกิดไม่ได้อยู่ที่งานวันเกิด ไม่ได้อยู่ที่ของขวัญ ไม่ได้อยู่ที่เพลง แต่ให้เราได้รู้ว่าเวลาเราผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี ปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้าง และปีต่อไปเราจะทำอะไรต่อไปต่างหาก 

แต่ถึงอย่างนั้น เวลามีคนมาอวยพรวันเกิด มาร้องเพลงให้ หรือมีของขวัญวันเกิดให้ ผมก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้งไป

Contrast กันดีจริงๆ